ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ แม้จะเป็นภาวะหรือความผิดปกติที่พบได้ทั่วไปสำหรับผู้ชายที่อายุมากขึ้น (พบได้ถึง 50 % ในผู้ชายอายุมากกว่า 40 ปี) แต่ในปัจจุบันพบว่าปัญหานี้กลับพบมากขึ้นอย่างมาก ในช่วงอายุที่น้อยลงเรื่อย ๆ
โรคความดันโลหิตสูง ทำให้เกิดภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ได้ร้อยละ 62 เมื่อเทียบกับคนที่ไม่มีความดันโลหิตสูง และพบ 8 – 10% ของผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นความดันโลหิตสูงจะมีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ร่วมอยู่แล้ว
ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศในผู้ชายคืออะไร
ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศในเพศชาย หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “Erectile dysfunction” นั้นมีคำจำกัดความทางแพทย์ว่า ภาวะที่อวัยวะเพศไม่สามารถแข็งตัวได้อย่างเพียงพอ หรือไม่สามารถคงการแข็งตัวไว้ได้นานขณะมีเพศสัมพันธ์ หรือไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์จนเสร็จกิจได้
ภาวะนี้ แม้จะไม่อันตรายถึงแก่ชีวิต แต่ก็เป็นสัญญานบ่งชี้ถึงปัญหาสุขภาพทางกายโดยรวม โดยเฉพาะโรคที่มีสาเหตุเกิดจากความผิดปกติของระบบไหลเวียนโลหิตและหลอดเลือด เช่น โรคเส้นเลือดสมองอุดตัน โรคหัวใจขาดเลือด ซึ่งล้วนมีปัญหาจากเลือดไปเลี้ยงอวัยวะนั้นไม่เพียงพอนั่นเอง นอกจากนี้ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ยังอาจส่งผลถึงสัมพันธภาพกับคู่สมรสจนอาจทำให้มีปัญหาในครอบครัวตามมาได้
ผู้ชายจะเสื่อมสมรรถภาพเมื่ออายุเท่าไหร่
ชายอายุต่ำกว่า 40 ปี – พบประมาณ 5 %
ผู้ชายอายุมากกว่า 40 ปี - พบประมาณ 50 %
โดยธรรมชาติแล้ว ในภาวะปกติองคชาตจะมีลักษณะอ่อนตัว และจะมีการตอบสนองเมื่อได้รับการกระตุ้นทางเพศการแข็งตัวขององคชาต เป็นการทำงานร่วมกันของระบบประสาทและหลอดเลือด (neurovascular) ภายใต้การควบคุมของฮอร์โมน การแข็งตัวขององคชาต ต้องอาศัยการทำงานที่ปกติของ 4 ปัจจัยคือ
1. เส้นประสาทที่มาเลี้ยง (intact neuronal innervations)
2. เลือดที่มาเลี้ยง (intact arterial supply)
3. กล้ามเนื้อเรียบที่ copora (appropriately responsive corporal smooth muscle)
4. การอุดตันของหลอดเลือดดำ (intact veno-occlusive mechanics)
สื่อมสมรรถภาพทางเพศแบ่งได้เป็น 3 ระดับ
ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศจะสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระดับ คือ
1. อาการน้อย คือ สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้สำเร็จเกือบทุกครั้ง
2. อาการปานกลาง คือ สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้สำเร็จประมาณครึ่งหนึ่ง
3. อาการรุนแรง คือ แทบจะไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้สำเร็จเลย
ถ้ามีการแข็งตัวได้ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ถือว่าปกติ ซึ่งสาเหตุของภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศส่วนใหญ่มักเกิดร่วมกันระหว่างโรคทางกายและและปัญหาทางด้านจิตใจ โดยพบว่าสาเหตุหลักๆ ก็คือ การที่เลือดไปเลี้ยงอวัยวะเพศได้ไม่เพียงพอ ซึ่งจำเป็นที่จะต้องมีการซักประวัติ ตรวจร่างกายและตรวจเพิ่มเติมพิเศษอื่น ๆ
ใครบ้างที่เสี่ยงต่อภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
1. อายุ เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญและหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่ออายุสูงขึ้น โอกาสที่จะเกิดภาวะ ED ก็จะเพิ่ม
มากขึ้นด้วยสังคมและเศรษฐกิจ พบภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศมากขึ้นในกลุ่มคนที่ฐานะ/
สถานะทางเศรษฐกิจสังคมที่ไม่ค่อยดี
2. โรคประจำตัวหรือโรคเรื้อรัง หากพบว่ามีโรคทั้ง 3 ต่อไปนี้ร่วมกัน จะมีภาวะ ED ร่วมทุกราย
2.1 โรคหัวใจและหลอดเลือด พบว่าโรคหัวใจมีผลมากที่สุดที่ทำให้เกิดภาวะ ED ระดับสูง ถึง
ร้อยละ 13.2
2.2 โรคความดันโลหิตสูง ทำให้เกิดภาวะ ED ได้ร้อยละ 62 เมื่อเทียบกับคนที่ไม่มีความดัน
โลหิตสูง และพบ 8 – 10% ของผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นความดันโลหิตสูงมีภาวะ ED
ร่วมอยู่แล้ว
2.3 โรคเบาหวาน ทำให้เกิดภาวะ ED ได้ร้อยละ 74.7 เมื่อเทียบกับคนที่ไม่มีเบาหวาน
3. เคยได้รับการผ่าตัดมาก่อน เช่น การผ่าตัดในอุ้งเชิงกราน การผ่าตัดผ่านทางท่อปัสสาวะ ได้รับ
อุบัติเหตุบริเวณอุ้งเชิงกราน อุบัติเหตุที่ไขสันหลัง
4. ภาวะพร่องฮอร์โมนเพศชาย
5. การรับประทานยาบางชนิด
6. พฤติกรรมอื่น ๆ เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ การออกกำลังกาย พฤติกรรมทางเพศ
7. ภาวะทางจิตใจ โดยเฉพาะภาวะซึมเศร้า จากการศึกษาพบว่าคนที่มีภาวะซึมเศร้ามีภาวะ ED ร้อย
ละ 50 – 90
การป้องกันภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
ควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรงทั้งทางกายและจิตใจ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ
การรักษาภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
ทั้งแบบไม่ใช้ยาและการใช้ยาหรือใช้อุปกรณ์ช่วย ซึ่งมีวิธีการรักษาหลักอยู่ 4 วิธี ได้แก่
1. ยากลุ่มยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ phosphodiesterase type 5 เป็นทางเลือกแรกในการ
รักษาผู้ที่ไม่มีข้อห้ามใช้ (ผู้ที่ห้ามใช้คือ ผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยยากลุ่ม nitrate)อาการข้างเคียงที่
พบบ่อย ได้แก่ ปวดศีรษะ การมองเห็นผิดปกติ อาการร้อนวูบวาบและปวดเมื่อยตามตัว
2. การรักษาด้วยยาฉีดเข้าที่องคชาต โดยฉีดเข้าอวัยวะเพศโดยตรง ยาชนิดนี้เป็นยาที่ทำให้หลอด
เลือดขยายตัว เพื่อนำเลือดเข้าสู่อวัยวะเพศชาย จนเกิดการแข็งตัว และจะแข็งได้นาน 30 – 60
นาที
3. การรักษาด้วยยาสอดเข้าทางท่อปัสสาวะ ใช้ตัวยาเดียวกับที่ใช้ฉีดเข้าอวัยวะเพศ แต่เป็นรูปแบบ
เม็ดเล็ก ๆ สอดเข้าทางท่อปัสสาวะ หลังจากคลึงอวัยวะเพศประมาณ 5 – 10 นาที ยาจะซึมเข้า
อวัยวะเพศและทำให้แข็งตัวขึ้นมาได้
4. การรักษาด้วยกระบอกสุญญากาศ โดยนำกระบอกสุญญากาศสวมเข้าที่อวัยวะเพศชายหลัง
ทำการปั๊ม อากาศจะถูกปั๊มออกจากท่อพลาสติกที่สวมเข้าไปภายในเวลา 2-3 นาที เลือดจะถูกดึง
ให้เข้าไปที่เนื้อเยื่อแทน ทำให้อวัยวะเพศแข็งตัวได้ เมื่ออวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่แล้ว จึงถอดกระ
บอกสูญญากาศออก แล้วนำยางรัดที่ฐานของอวัยวะเพศชาย เพื่อช่วยให้ยังคงการแข็งตัวต่อไปได้
5. การผ่าตัดใส่แกนองคชาตเทียม
ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ หากได้รับการสังเกตด้วยตนเองตั้งแต่เริ่มต้น และได้รับการบำบัดรักษา หรือแก้ไขสาเหตุ ย่อมช่วยบรรเทาปัญหาดังกล่าวลงได้
ด้วยความปรารถนาดีจากผลิตภัณฑ์ Tiger X ตัวช่วยในกิจกรรมของคุณผู้ชาย
และผลิตภัณฑ์ Square ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารช่วยดูแลสุขภาพในระยะยาวสำหรับคุณผู้ชาย
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากร้านค้าใน Shopee คลิ๊กเลย!
Comments